Disclaimer: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ และเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสกลับไปดูหนังเก่า ที่เคยดูครั้งหนึ่งเมื่อสมัยมัธยม จำได้รางๆว่าครั้งแรกที่ดูเพราะความป๊อปปูล่าของพระเอกอย่าง Ezra Miller แต่เนื้อเรื่องทั้งหมดแทบจะเลือนรางออกไปจากความทรงจำ เมื่อมีโอกาสได้กลับดูอีกครั้งในช่วงอายุที่เข้าใจโลกมากขึ้น We Need to Talk About Kevin เป็นหนังสะท้อนปัญหาครอบครัวอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ผู้เขียนอยากรีวิวและวิเคราะห์หลายๆประเด็นที่น่าสนใจ ทั้งในมิติของการเลี้ยงดูลูก บทบาทของการเป็นพ่อแม่เมื่อพร้อม รวมไปถึงการรับมือเมื่อลูกมีพฤติกรรมรุนแรง ที่ท้ายที่สุดมันส่งผลกระทบอันน่าสลดใจในวงกว้าง
เมื่อลูกเกิดมาท่ามกลางความ “ไม่พร้อม” ของคนเป็นแม่
![]()
แกนหลักสำคัญของเรื่องคือ Eva Khatchadourian (Tilda Swinton) ตัวละครที่ใช้ชีวิตนักเขียนอย่าง free spirit อิสระ เดินทางท่องโลก เพื่อกลั่นกรองประสบการณ์ออกมาเป็นตัวอักษรผ่านหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวหลายๆเล่มของเธอ เรียกได้ว่าอีวาเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จทั้งทางหน้าที่การงาน เงิน และความสัมพันธ์กับชายคนรักอย่าง Franklin Khatchadourian (John C. Reilly) จนกระทั่งอีวาเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา เธอมองว่าการตั้งครรภ์ในครั้งนี้ คืออุบัติเหตุที่มาทำลาย “เป้าหมายในชีวิต” ที่เธอวาดฝันเอาไว้ ตั้งแต่เควินอยู่ในครรภ์ เราสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่อีวามีต่อลูกในท้อง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากฉากที่เควินในวัยทารกร้องไห้ไม่หยุดเมื่ออยู่กับคนเป็นแม่ แต่กลับหยุดร้องและสงบลงทันทีเมื่ออยู่กับพ่อ
มีการศึกษาวิจัยพบว่า เด็กในครรภ์สามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของแม่ผ่านฮอร์โมนและสารเคมีที่หลั่งออกมาผ่านกระแสเลือด ความสัมพันธ์อันบิดเบี้ยวระหว่างแม่ที่ไม่ต้องการลูก และเควินที่อยู่ในครรภ์รับรู้ถึงความไม่ต้องการนั้น คือจุดเริ่มต้นของหายนะทั้งหมด
อีวาเป็นเหมือนตัวแทนของพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ “ไม่พร้อม” ในเชิงจิตใจ แม้จะร่ำรวยเงินทอง แต่ความไม่พร้อมทางอารมณ์ส่งผลร้ายแรงกว่าสิ่งใด อีวาใช้ชีวิตด้วยความรู้สึก “โหยหา” ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบเดิมของตัวเอง เธอไม่ได้แค่โกรธเควิน แต่โกรธชะตาชีวิตที่ทำให้เธอต้องมาติดอยู่ในบทบาทความเป็นแม่ที่เธอไม่ปรารถนา ความคับข้องใจนี้ถูกแสดงออกมาผ่านการปฏิสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างเธอกับเควิน ซึ่งนับว่าเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี ที่ก่อสุมพฤติกรรมต่อต้านและก้าวร้าวของลูกชายให้ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
“เด็กผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละ” และบทบาทของพ่อที่ไม่ใส่ใจ
![]()
ในขณะที่อีวาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและพยายามมองเห็นความผิดปกติในตัวเควิน แฟรงคลิน พ่อของเควิน กลับเป็นขั้วตรงข้าม เขาเลือกที่จะมองโลกในแง่ดีเกินจริง และมักจะบอกปัดความก้าวร้าวและพฤติกรรมแปลกๆ ของเควินด้วยวลีง่ายๆ อย่าง “Boys will be boys” สำหรับแฟรงคลิน เควินคือเพื่อนเล่นที่เขารอคอย และเขาก็เป็นเหยื่อที่เควินจัดการได้ง่ายที่สุด
การที่แฟรงคลินไม่สนใจจะรับฟังคำเตือนของภรรยาอย่างอีวา และปฏิเสธที่จะยอมรับว่าลูกชายของตนมีปัญหานั้น เป็นการตอกย้ำถึงปัญหาการเลี้ยงดูแบบ “พ่อแม่รังแกฉัน” แฟรงคลินให้อิสระแก่เควินอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่ได้ตระหนักว่าการแสดงความรักเช่นนี้ มันคือปัจจัยหนึ่งที่หล่อหลอมเควินให้กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์และมีนิสัยแบบ manipulative (บงการผู้อื่น) เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาเป็นปีศาจเมื่ออยู่กับแม่ แต่เป็นลูกชายที่น่ารักและเชื่อฟังเสมอเมื่ออยู่กับพ่อ
เมื่อลูกไม่ใช่แค่ “เด็กดื้อ”
![]()
สิ่งที่ทำให้ We Need to Talk About Kevin แตกต่างจากหนังครอบครัวทั่วไปคือ การที่เควินไม่ได้เป็นแค่ “เด็กดื้อ” แต่เขามีแนวโน้มที่จะเป็น โรคบุคลิกภาพต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) หรือมีปัญหาทางจิตอย่างรุนแรงอื่น ๆ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก เช่น ฉากที่เควินละเลงสีใส่ผนังห้องทำงานของอีวา ฉากที่เขาปฏิเสธการเข้าห้องน้ำจนกระทั่งโตเกินวัย ฉากที่หนูแกสบี้ของน้องสาวอย่าง Celia Khatchadourian (Ashley Gerasimovich) หายไป (ซึ่งฉากนี้ตีความได้ว่าเป็นฝีมือของเควินนั่นเอง) หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาจัดฉากวางแผนทำให้น้องสาวบาดเจ็บถึงขั้นตาบอด การกระทำเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสัญญาณเตือนที่พ่อแม่ไม่ควรเพิกเฉย
เมื่อคนเป็นแม่คือผู้รอดชีวิตที่ถูกลงโทษ
![]()
หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่เควินก่อขึ้นในโรงเรียน Gladstone High School ภาพยนตร์ไม่ได้จบลงที่เควินโดนจับกุม แต่เน้นไปที่ชีวิตที่แตกสลายของอีวา ตอนนี้เธอกลายเป็น “แม่ของฆาตกร” นี่คือประเด็นที่เจ็บปวดที่สุด อีวาไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับ การสูญเสียลูกสาวและสามีที่ถูกลูกในไส้อย่างเควินฆาตกรรมก่อนหน้านั้น แต่เธอยังต้องรับมือกับการประณามและการลงโทษอย่างรุนแรงจากสังคม
เธอต้องเผชิญกับการถูกทำลายทรัพย์สิน (บ้านซอมซ่อและรถคันเก่าถูกสาดสีจากบุคคลนิรนาม) การถูกโจมตีทางวาจา (เพื่อนร่วมงานเพศชายที่พูดจาดูถูกเธอในงานเลี้ยงคริสต์มาสที่บริษัท) รวมถึงการถูกซุบซิบนินทาและเมินเฉยจากคนรอบข้าง
สังคมตัดสินว่า “ลูกที่ชั่วร้าย” ย่อมมาจาก “แม่ที่ผิดพลาด” หรือ “แม่ที่ชั่วร้าย” เช่นกัน ทำให้อีวากลายเป็นตัวแทนของความผิดที่ต้องชดใช้แทนลูกชายของเธอ
แม้ว่าเควินจะก่ออาชญากรรม แต่ตลอดทั้งเรื่อง อีวาใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกผิดที่ผสมปนเประหว่าง “ความเกลียดชัง” ที่เธอมีต่อลูกชายตั้งแต่แรกเกิด และ “ความรับผิดชอบ” ที่เธอควรจะมีในการยับยั้งพฤติกรรมรุนแรงของเควิน ที่ท้ายที่สุดมันนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย
คำถามที่ไม่มีคำตอบ
![]()
ฉากจบเป็นอีกหนึ่งฉาก ที่ทิ้งความรู้สึกอันหนักอึ้งไว้ในใจของผู้เขียน อีวาไปเยี่ยมเควินที่เรือนจำในช่วงก่อนที่เขาจะถูกย้ายไปเรือนจำผู้ใหญ่ ตลอดทั้งเรื่อง อีวาพยายามหาคำตอบเดียวจากเควินว่า “ทำไมลูกถึงทำแบบนี้?” มันเป็นคำถามที่เธอไม่เคยได้รับคำตอบ จนกระทั่งฉากสุดท้าย เควินยอมเปิดใจกับอีวาเล็กน้อยและพูดออกมาเพียงแค่ว่า เขาไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงในการก่อเหตุ เขาแค่รู้สึกว่าจำเป็นต้องทำ ซึ่งคำตอบนี้มันไม่ได้ถมหลุมดำในจิตใจของคนเป็นแม่เลย และยังเป็นการทิ้งคำถามให้คนดูไปคิดต่อ ว่าการที่เควินเป็นแบบนี้ มันคือความว่างเปล่าทางอารมณ์ หรือ ความผิดปกติทางจิตที่ไม่มีคำอธิบายตั้งแต่เกิดกันแน่
กอดสุดท้าย
อีวากอดเควินอย่างแน่นแฟ้นในฉากสุดท้าย เป็นการแสดงออกถึง การยอมรับความจริง และการให้อภัยในความหมายที่ซับซ้อนที่สุด เธอไม่ได้ให้อภัยในสิ่งที่เขาทำ แต่เธออาจยอมรับว่า เควินก็คือลูกของเธอไม่ว่าเขาจะดีหรือชั่วเพียงใด และอาจเป็นครั้งแรกที่เธอปลดปล่อยตัวเองจากความขัดแย้งภายในใจที่ว่า เธอไม่ต้องการเขาโดยมาตลอด กอดนี้เปรียบเสมือนกอดที่ปิดฉากความขัดแย้งภายในใจ ระหว่างแม่ที่ไม่ต้องการลูก กับลูกผู้ที่รู้สึกว่าไม่เคยได้รับความรักจากคนเป็นแม่มาก่อนเลยในชีวิตนี้
สรุป
We Need to Talk About Kevin ในมุมมองของผู้เขียน เป็นภาพยนตร์ที่ดูแล้วให้ความรู้สึก หน่วงอึดอัดและเจ็บปวด แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวที่ซับซ้อนของสถาบันครอบครัวได้เป็นอย่างดี มันบังคับให้เราตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของพ่อแม่เมื่อลูก “เลือก” ที่จะเป็นปีศาจ และสุดท้ายแล้ว เมื่อลูกคนหนึ่งก่ออาชญากรรมที่น่าสลดใจ ครอบครัวที่เหลืออยู่ จะเยียวยารับมือกับความสูญเสีย ความรู้สึกผิด และการถูกสังคมลงโทษได้อย่างไร?
ขอบคุณภาพประกอบจาก: https://www.imdb.com/title/tt1242460/mediaindex/?ref_=mv_close
Comments
Author
หากชอบบทความนี้ กดไลค์ กดแชร์ กดคอมเม้นแสดงความคิดเห็นกันเข้ามาได้นะคะ 🙂